เช็ก สเปค รีวิว iPhone 13 mini จิ๋วจริง จอ 5.4 นิ้ว กล้องหลังคู่ ความละเอียดสูงสุด 12 MP ลดรอยบากบนหน้าจอเล็กลง เพิ่มพื้นที่การแสดงผลให้กว้างเต็มตามากยิ่งขึ้น พร้อมดีไซน์สีชมพูใหม่ หวานแหววมุ้งมิ้งกว่าเดิม ในราคาเปิดตัว เริ่มต้นที่ 25,900 บาท
น่าสนใจไม่น้อยสำหรับรุ่น iPhone 13 mini กับขนาดจอแสดงผล เพียง 5.4 นิ้ว
มาพร้อมกับสีชมพู สดใสน่ารัก ถูกใจสายหวานกันเลยทีเดียว โดยจะมีขนาดตรงข้ามกับรุ่น iPhone 13 Pro Max อย่างชัดเจน ที่จะเน้นความจอใหญ่เต็มตา สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย สำหรับ iPhone 13 mini เครื่องนี้ มีราคาเปิดตัว เริ่มต้นที่ 25,900 บาท พร้อมให้พรีออร์เดอร์ล่วงหน้า ในประเทศไทย วันที่ 1 ตุลาคม และเริ่มวางจำหน่ายจริง วันที่ 8 ตุลาคม ส่วนการสั่งจองล่วงหน้า สำหรับต่างประเทศ จะเริ่มต้นขึ้นในเวลา 05.00 น. วันที่ 17 กันยายน และเริ่มวางจำหน่าย ในวันที่ 24 กันยายน ตามลำดับ ซึ่งจะมีสเปคอะไรเพิ่มเติมจากเดิมบาง เข้ามา เช็ก สเปค รีวิว iPhone 13 mini ในนี้กันได้เลย
iPhone 13 mini จะมีขนาดเล็กที่สุด ในบรรดา 4 รุ่นที่ออกมา โดยเลือกใช้จอแสดงผลกว้าง 5.4 นิ้ว และดีไซน์ที่เรียบหรูดูดีมีระดับ ซึ่งยังคงสไตล์มาตรฐานเดียวกับ iPhone 12 mini แต่จะเพิ่มความทนทานมากยิ่งขึ้น ด้วยการเคลือบ Ceramic Shield ซึ่งการการันตีว่า แข็งแกร่งกว่ากระจกบนสมาร์ทโฟนรุ่นก่อนหน้า อีกทั้งยังรองรับการกันฝุ่น และกันน้ำในระดับความลึก สูงสุด 6 เมตร ภายในระยะเวลา 30 นาที ผ่านมาตรฐาน IEC 60529 ระดับการควบคุม IP68 โดย iPhone 13 mini จะมีสีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และสีแดง Product Red
หน้าจอแสดงผล จอไซซ์เล็กพอดีมือ ขนาดกะทัดรัด เพียง 5.4 นิ้ว (เท่ากับรุ่น iPhone 12 mini), อัตราส่วนหน้าจอ 19.5 : 9, ให้ค่าการใช้พื้นที่ด้านหน้าของจอแสดงผล มากถึง ~85.1%, มีความชัดระดับ Super Retina XDR OLED ขนาด 1080 x 2340 พิกเซล, สามารถแสดงผลความชัด ระหว่างรับชมภาพยนตร์ หรือวิดีโอได้ ในระดับ HDR10 และเทคโนโลยี True-tone กับ Wide color gamut ในการทำให้สีสันมีเฉดสีที่หลากหลาย มีความสมูท และคมชัด ดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น, มอบค่าความสว่างสูงสุด 1200 nits
แบตเตอรี่เป็นแบบ Li-Ion รองรับระบบชาร์จไว Fast Charging 20 Watt ซึ่งทาง Apple ได้เคลมไว้ว่าสามารถชาร์จได้มากถึง 50% ด้วยระยะเวลาเพียง 30 นาที รองรับการชาร์จแบบไร้สาย 15 Watt คู่กับระบบชาร์จไวแบบไร้สาย Qi magnetic 7.5 Watt สามารถใช้งานได้ยาวนาน สูงสุด 17-19 ชั่วโมง สำหรับใช้งานรับชมวิดีโอ และสูงสุด 55 ชั่วโมง (หรือราว ๆ 2 วันครึ่ง) ในการเปิดฟังเพลง
ชิปเซ็ตประมวลผล อัปเกรดจากรุ่นก่อน จากเดิมที่เป็น A14 Bionic สู่ชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง Apple A15 Bionic บนเทคโนโลยี ขนาด 5 นาโนเมตร มาพร้อมกับ CPU Hexa-core 6 แกน ผสานกำลังจากหน่วยประมวลผลกราฟิก GPU Apple GPU (4-core graphics) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ไหลลื่น ทั้งด้านกราฟิก และการเล่นเกม ภายใต้หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน ตั้งแต่ 128 / 256 และสูงสุดที่ 512 GB
ลือ! Call of Duty 2022 จะเป็น Modern Warfare (2019) 2
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการเปิดเผยมาว่า Call of Duty ที่จะปล่อยในปี 2022 นี้ จะเป็นภาคต่อของ Modern Warfare (2019) หรือ Modern Warfare 2 ล่าสุดนี้ได้มีข่าวลือ ออกมาถึงเกมส์ต่อไปในแฟรนไชน์ Call of Duty (COD) ที่จะทำการปล่อยประจำปี 2022 ตามแผนงานปล่อยเกมส์แบบปีต่อปีนั้น จะเป็นภาคต่อของ Modern Warfare (2019) หรือจะเรียกให้ง่ายก็คือ Modern Warfare 2
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า เกมส์ที่จะออกมาในปีหน้านี้ถือว่าเป็นหนึ่งในแผนงานของทาง Activision สำหรับแฟรนไชน์เกมส์ Call of Duty (COD) ที่เป็นการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันพัฒนาเกมส์แบบปีต่อปี โดยทีมงานที่รับผิดชอบมีด้วยกัน 3 ทีมงาน : Infinity Ward, Treyarch และ Sledgehammer Games
ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เป็นหน้าที่ของ Treyarch ที่ได้พัฒนา Call of Duty: Black Ops Cold War (2020) และส่งต่อให้ Sledgehammer Games ทำการปล่อยตัว Call of Duty: Vanguard (2021) และปีหน้าก็จะกลับไปที่ Infinity Ward ผู้ซึ่งรับผิดชอบในปี 2022 ที่จะถึงนี้
กลับไปที่ข่าวลือข่าวหลุดที่ว่านี้ โดยตัวข่าวนั้นเป็นการเปิดเผยจาก Tom Henderson นักข่าววงในที่รับผิดชอบในด้านเกมส์ FPS โดยเฉพาะ ซึ่งเขาได้รายงานว่า COD 2022 ได้ถูกพัฒนาแล้วภายใต้ชื่อรหัสโครงการ Project Cortez และคาดว่าจะเป็นภาคต่อของ Modern Warfare (2019)
ข่าวที่ว่านี้ก็ได้รับการยืนยัน และสมทบโดย Videogames Chronicle (VGC) ที่ได้รายงานเพิ่มเติมถึงตัวโครงการนี้ว่า ชื่อรหัส Project Cortez นั้นมีการอ้างอิงถึงตัวละคร Felix Cortez จากภาพยนต์ Clear & Present Danger (1994) ที่สร้างขึ้นจากหนึ่งในเรื่องราวของจักรวาล Tom Clancy
ตามการรายงานของ VGC นั้น การอ้างอิงดังกล่าวมากจากที่ว่าเค้าโครงของเนื้อเรื่องใน Modern Warfare 2 จะเป็นเกี่ยวกับกาทำสงครามลับของหน่วยปฏิบัติการพิเศษสหรัฐกับขบวนการค้ายาเสพติดโคลัมเบีย ที่ก็ตรงกับเนื้อเรื่องของ Clear & Present Danger
นอกจากนี้แล้วยังได้มีการรายงานว่า MW 2 (2022) นั้นจะยังรักษาองค์ประกอบของ MW 2 (2009) เอาไว้ภายใต้เรื่องราวใหม่ ที่ก็แน่นอนว่าเราอาจจะได้เห็นภารกิจที่มีความคล้ายคลึงกับ No Russian ก็เป็นได้
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> pokdengkings.com